รักบริสุทธิ์ท่ามกลางสงครามการเมือง

รักบริสุทธิ์ท่ามกลางสงครามการเมือง

วันที่นำเข้าข้อมูล 31 ม.ค. 2556

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 9 ก.ย. 2565

| 4,439 view

เรื่องที่ท่านจะอ่านต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ดิฉันเขียนขึ้นมาจากประสบการณ์จริงและได้ส่งเข้าประกวดข้อเขียนในโครงการของคลื่นครอบครัว 97.5  F.M. Nice Station เมื่อเดือน 2542 และเป็นเรื่องที่ได้รับรางวัลในการเข้าประกวดในครั้งนั้น  และเมื่อทางสถานีได้อ่านออกรายการทางวิทยุ  คุณ ดำรง  พุฒตาล  ซึ่งเป็นบรรณาธิการของนิตยสาร “ คู่สร้างคู่สม ” ได้รับฟังเรื่องราวและประทับใจ จึงขออนุญาตทางสถานีเพื่อนำเรื่องที่ได้รับรางวัลลงตีพิมพ์ในหนังสือ “ คู่สร้างคู่สม ”  ซึ่งเรื่องของดิฉันได้รับการพิมพ์ลงหนังสือ “ คู่สร้างคู่สม ” ฉบับที่ 353 ประจำเดือนกันยายน 2542  ดิฉันเห็นว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ดิฉันได้ติดตามสามีไปประจำการต่างประเทศ  และเป็นเรื่องราวที่น้อยคนนักจะประสบเหตุการณ์อย่างดิฉัน   ดิฉันเขียนขึ้นเป็นบันทึกเรื่องราวส่วนตัว  ขอนำมาเล่าสู่กันฟังหวังว่าท่านสมาชิกชมรมฯ คงจะได้รับความเพลิดเพลินไม่มากก็น้อยนะคะ

แม้วันเวลาจะล่วงเลยไปถึง 13  ปีแล้ว  ฉันก็ไม่เคยลืมเหตุการณ์ในวันนั้นไปได้  และจะขอจดจำไว้ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่  นั่นคือวันที่ลูกชายที่น่ารักของฉันได้ลืมตามาดูโลกเป็นครั้งแรก  หลังจากที่ฉันเพียรพยายามอย่างมากที่จะมีลูกเมื่อแต่งงานมาได้ 5 ปี ขอความช่วยเหลือจากแพทย์มาหลายท่าน  แต่เมื่อถึงเวลา  ลูกก็มาเกิดได้โดยไม่ต้องพึ่งเทคนิคทางการแพทย์แต่ประการใด อาจจะเป็นเพราะฟ้าลิขิตให้เขามาเกิดในวันนั้น  ในเหตุการณ์ที่ฉันจะเล่าต่อไป  ซึ่งไม่มีวันลืมเลย

หลังจากที่สามีของดิฉันได้รับแต่งตั้งจากกระทรวงการต่างประเทศให้ไปประจำการยังสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา  ประเทศฟิลิปปินส์  เราสองคนได้ไปใช้ชีวิตในต่างแดนเป็นครั้งแรก  เมื่อเราว่างจากภาระหน้าที่การงาน  เราใช้ชีวิตคู่กันอย่างเต็มที่ในการท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ  หรือดูหนังฟังเพลงบ้างในบางโอกาส พบปะเพื่อนฝูงโดยไม่ต้องห่วงใครที่บ้านเรายังไม่เคยคิดถึงการมีลูกอย่างจริงจังแต่เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งผิดปกติที่แต่งงานมาหลายปีแล้วไม่มีลูกฉันจึงต้องไปปรึกษาแพทย์ตั้งแต่ก่อนจากเมืองไทยมา  และเมื่อไปอยู่มะนิลาได้หนึ่งปีผ่านไปเราก็มีความต้องการที่จะมีลูกกันอย่างจริงจังและความตั้งใจของเราก็ประสบผลสำเร็จ

ฉันได้ประสบการณ์ของการตั้งครรภ์เป็นครั้งแรกเมื่อเริ่มเหม็นกลิ่นอาหารและอาเจียนบ่อยครั้ง  ทีแรกฉันไม่ค่อยแน่ใจนัก  เพราะรู้ตัวว่ามีลูกยาก  แต่ก็หวังไว้ลึกๆว่าจะเป็นความจริง  และเมื่อฉันไปพบแพทย์   ฉันก็ได้รู้สึกถึงความสุขที่แท้จริงในชีวิตเมื่อหมอบอกว่าฉันตั้งท้องแล้วฉันรับฟังจากแพทย์ด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างเหลือล้น  เป็นความสุขที่แตกต่างไปจากความสุขอื่นที่ฉันเคยมี  เมื่อฉันแต่งงาน  ฉันมีความสุขที่ได้อยู่กับคนที่ฉันรัก  เราเป็นคู่รักกันตั้งแต่เป็นนักเรียนมัธยมปลาย  และเราก็คบกันต่อมา  จนเมื่อเรียนในมหาวิทยาลัย  ถึงจะอยู่ต่างสถาบัน  เราก็ยังไม่เคยเปลี่ยนใจไปรักใครอื่น  เมื่อฉันมีลูกกับเขา  ฉันจึงมีความสุขยิ่งนักที่ได้มีโอกาสเป็นแม่คน  กำลังจะให้กำเนิดแก่ชีวิตหนึ่ง  ซึ่งเกิดจากเลือดเนื้อของฉันและคนที่ฉันรัก
 
เมื่อทุกอย่างเข้าสู่สภาวะปกติ  ฉันก็ได้สัมผัสกับความสุขของการตั้งท้องอย่างเต็มที่  ตื่นเต้นดีใจทุกครั้งที่ลูกดิ้น  และรู้สึกสนุกมากเมื่อลูกดิ้นแรงจนเห็นท้องเป็นคลื่น ฉันตื่นเต้นแม้กระทั่งการใส่ชุดคลุมท้อง  ฉันพยายามทำทุกอย่างที่หมอแนะนำ  ให้ทานอาหารที่ดี  ทานยาบำรุง  การพักผ่อนและออกกำลังกายบ้างตามสมควร  ฉันมีความสุขกับการไปเดินจับจ่ายซื้อของเตรียมไว้ให้ลูกน้อย  เพราะความที่ฉันและสามีอยู่กันเพียงสองคน เราจึงต้องช่วยเหลือตัวเองทุกอย่างมีแต่เพียงเพื่อนข้าราชการไทยเท่านั้นที่คอยให้คำแนะนำและยังมีหนังสือที่พ่อแม่ของฉันส่งไปให้อ่าน   นี่ถ้าหากฉันอยู่เมืองไทยตอนนั้น  ฉันคงถูกห้ามการซื้อของเตรียมไว้ให้ลูก   เพราะโบราณถือ  แต่นี่ถ้าฉันไม่เตรียม  ก็คงจะต้องลำบากหลังคลอดแน่ๆ    แต่ความจริงเหนือสิ่งอื่นใดก็คือฉันมีความสุขเหลือเกินที่ได้ไปเดินดูของใช้ของเด็กๆ อะไรๆ ก็ดูน่ารักไปหมด  ช่วงนั้นฉันมีความสุขมากจนฉันดูเปล่งปลั่งขึ้นมาก  ใครๆ ก็ทายว่าฉันจะได้ลูกสาวแน่นอน  มีเพียงเพื่อนคนเดียวเท่านั่นที่ทายว่าฉันจะได้ลูกชาย  โดยการทำนายจากชื่อของฉันและสามี ใจฉันเองอยากได้ลูกชายเป็นคนแรกและก็มองเห็นแต่ว่าเสื้อผ้า ของใช้ ของเล่นของเด็กผู้ชายน่ารักไปซะหมด
 
หมอได้กำหนดว่าฉันจะคลอดราวเดือนมีนาคมของปี 2529 ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติจนกระทั่งถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2529 ก็เกิดการรวมตัวกันของประชาชนชาวฟิลิปปินส์ในกรุงมะนิลาเพื่อขับไล่ Marcos  ประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์  ให้ลาออกจากตำแหน่ง  เพราะประชาชนทนความเผด็จการและการโกงกินชาติบ้านเมืองของมาร์กอสต่อไปไม่ไหวแล้ว    สามีฉันจึงต้องวุ่นวายกับการรายงานเหตุการณ์ให้กระทรวงการต่างประเทศทราบอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นห่วงฉันมาก เพราะฉันท้องแก่มากแล้ว  เหตุการณ์ในวันต่อๆ มาทวีความรุนแรงมากขึ้น  มีการปะทะกันด้วยกำลังและอาวุธระหว่างประชาชนและทหาร  ฉันรับฟังข่าวด้วยความกลัวตลอดเวลา  การสื่อสารระหว่างประเทศถูกตัดขาด  ฉันไม่สามารถส่งข่าวมายังครอบครัวที่เมืองไทย  และพวกเขาก็ไม่สามารถติดต่อฉันได้เช่นกัน
 
ท่านเอกอัครราชทูตบอกแก่ฉันว่าหากเหตุการณ์รุนแรงขึ้นแต่ไม่ถึงขั้นอพยพ  ก็จะให้ฉันย้ายเข้าไปพักอยู่ในทำเนียบของท่านจะปลอดภัยที่สุดแต่ถ้าหากต้องอพยพท่านจะให้ฉันขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทยก่อนเป็นคนแรก  แต่สามีฉันจะต้องอยู่ที่นั่นและจะต้องกลับเป็นกลุ่มสุดท้าย เพราะเขาจะต้องปฏิบัติตามหน้าที่ฉันรับฟังด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความทุกข์อะไรจะเกิดขึ้นถ้าพ่อของลูกไม่ได้กลับเมืองไทย  และไม่ได้เห็นหน้าลูกเมื่อแรกเกิด  ฉันคิดมากและกังวลใจจนเกือบกินไม่ได้นอนไม่หลับ และฉันรู้ว่าลูกเองก็กำลังทุกข์ด้วย  เพราะเขาดิ้นตลอดเวลาจนฉันรู้สึกไม่สบายตัวเอามากๆ เลยทีเดียว
 
และแล้ว " ลูกฟิลล์ "  ก็ได้เกิดมาท่ามกลางความสับสนวุ่นวายทางการเมืองของฟิลิปปินส์  จะเป็นด้วยเหตุที่ฉันตื่นเต้นหวาดกลัวหรือเป็นเพราะฟ้ากำหนดให้เขามาเกิดในวันนี้ก็สุดที่ฉันจะรู้  วันนั้นตรงกับวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2529 ในเวลาเช้าตรู่ฉันมีอาการน้ำคร่ำเดินฉันจึงปลุกสามีของฉันเพื่อพาฉันไปโรงพยาบาลท่ามกลางเสียงปืนและรถถังเต็มเมือง  โชคดีที่หมอของฉันเดินทางมาโรงพยาบาลได้อย่างปลอดภัยเช่นกัน หมอตรวจดูแล้วก็บอกฉันว่าฉันจะคลอดอย่างเร็วก็ช่วงบ่าย  ฉันไม่มีอาการเจ็บท้องแต่อย่างใดเลย  สามีฉันก็วางใจว่าฉันคงยังไม่คลอดเร็วๆ นี้แน่  จึงไปทำงานต่อ  แต่พอถึงเวลา 11 โมงเช้า หมอก็บอกว่าฉันจะคลอดแล้ว   จึงพาเข้าห้องคลอด  หลังจากที่ฉันได้ดูทีวีและเห็นว่า  Marcos  และ  Cori  Aquino  ต่างก็ประกาศตัวเป็นประธานาธิบดี  เหตุการณ์เริ่มเข้มข้นเข้าไปทุกที  แต่ฉันไม่ห่วงอะไรแล้ว  ฉันกำลังตื่นเต้นที่จะได้เห็นหน้าลูกที่เฝ้ารอคอยมาเกือบเก้าเดือน
 
ฉันคลอดลูกด้วยวิธีธรรมชาติเมื่อเวลา 12.13 น.  ที่โรงพยาบาล Makati Medical Center  สูติแพทย์ของฉันคือ Dr.Constantino P.Manahanผู้มีชื่อเสียง  ฉันตื่นเต้นมากเมื่อพยาบาลบอกฉันว่า " baby boy " น้ำตาฉันไหลด้วยความปลื้มปิติสมหวังดีใจที่สุดในชีวิต  ฉันได้ยินเสียงลูกร้องไห้จ้า  และพยาบาลก็อุ้มลูกมาให้ฉันดูหน้า ซึ่งฉันเองก็เห็นลูกไม่ถนัดนัก เพราะความที่สายตาสั้นและไม่ได้ใส่แว่นในขณะนั้น
 
อันที่จริงสามีฉันก็ตั้งใจว่าจะอยู่ด้วยตอนฉันคลอด  แต่เพราะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดทำให้เขามาถึงโรงพยาบาลช้ากว่าท่านทูตซึ่งห่วงใยฉันมากและท่านมาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่ฉันอยู่ในห้องคลอด  แต่ยังโชคดีที่สามีฉันมาทันเวลาที่พยาบาลอุ้มลูกออกจากห้องคลอด เขาจึงทันได้ถ่ายรูปลูกเอาไว้ในขณะที่ตัวลูกยังมีคราบไขมันและเลือดติดอยู่มันเล็กน้อย
 
ลูกฟิลล์ มีน้ำหนักแรกคลอด 7.2 ปอนด์ หรือ 3,232 กรัม  ตัวโตแข็งแรงแลมีขนปุยอ่อนๆขึ้นเต็มตัว  ลูกหน้าตาคล้ายไปทางพ่อมาก  ลูกเกิดก่อนหมอกำหนด 12 วัน( กำหนดคือ 9 มีนาคม 2529
 
เมื่อฉันไปพักฟื้นในห้องพักคนไข้  ฉันก็ได้ดูทีวีตลอดเวลา  และติดตามเหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้นทุกขณะ  ตอนนั้นฉันไม่นึกกลัวอะไรแล้ว  เพราะลูกก็คลอดแล้ว  สามี  ฉันและลูกได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากัน  อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด  ห้ามและแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้วฉันกังวลแต่ว่าทางครอบครัวของฉันที่เมืองไทยจะเป็นห่วง

 

ช่วงบ่ายวันนั้นประชาชนชาวฟิลิปปินส์ก็บุกทำเนียบมาลากันยังเพื่อขับไล่มาร์กอสและมาดามอีเมลด้า มีการจุดไฟเผาและทำลายทรัพย์สินสิ่งของต่างๆ  ทหารไม่สามารถต่อต้านพลังของประชาชนได้อีก  มีการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินมากมาย  ในที่สุดเวลาเที่ยงคืนวันนั้น มาร์กอสและมาดามอีเมลด้าก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้แก่พลังของประชาชน  และต้องหลบหนีออกนอกประเทศไป  สละอำนาจและทรัพย์สิน  จากไปท่ามกลางเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีของประชาชนทั้งประเทศ  ถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่ประชาชนได้ต่อสู้มาเพื่อให้ได้ประชาธิปไตย และหลุดพ้นจากการปกครองแบบเผด็จการมานานร่วมยี่สิบปี
 
ดังนั้น  จึงได้มีการประกาศจากรัฐบาลชุดต่อมา  ภายใต้การนำของประธานาธิบดี  Cori  Aquino  ให้วันที่ 25  กุมภาพันธ์  เป็นวัน " Victory Day " และเป็นวันหยุดประจำชาติของทุกปี เพื่อให้ประชาชนได้รำลึกถึงชัยชนะครั้งนี้
 
สำหรับฉัน วันที่ 25 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็นวันที่ฉันได้รำลึกถึงชัยชนะของฉันเองที่ได้ต่อสู้กับอุปสรรคและความกลัว  จนได้รางวัลที่ยิ่งใหญ่สำหรับฉันและครอบครัวคือ“ ลูกฟิลล์ ” ลูกชายคนแรกของเรา  ฉันจึงตั้งชื่อให้ลูกว่า " ฟิลล์ "  ( PHIL)  มาจากคำว่า   " PHILIPPINES " เพื่อเป็นที่ระลึกให้เราจดจำเหตุการณ์และความภาคภูมิใจที่เรามีเมื่อได้ไปประจำการยังประเทศฟิลิปปินส์
 
5 ปีต่อมา  เมื่อฉันได้กลับมาอยู่ประเทศไทยหลังจากพ้นวาระประจำการยังประเทศฟิลิปปินส์แล้ว ฉันก็ได้ให้กำเนิดลูกคนที่สองเป็นหญิงสมความตั้งใจเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์  2534      แต่การให้กำเนิดลูกสาวคนนี้เป็นการคลอดก่อนกำหนดถึงสองเดือนอาจเป็นไปได้ว่าเขาอยากจะเกิดในเดือนเดียวกันกับพี่ชาย  ทำให้ฉันต้องตื่นเต้นและหวาดกลัวอีกเป็นครั้งที่สอง  เพราะลูกมีน้ำหนักแรกคลอดน้อยกว่าปกติ  จึงทำให้ลูกต้องอยู่รักษาตัวในตู้อบจนกว่าลูกจะแข็งแรง  จึงจะกลับบ้านได้  ด้วยความเป็นห่วงลูก  ฉันเลยตัดสินใจพักอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อดูแลลูกอย่างใกล้ชิด และแล้วสิ่งที่ฉันไม่เคยคาดคิดก็เกิดขึ้นระหว่างที่ฉันและลูกยังอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นสัปดาห์ที่สอง  ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์  2534  ก็เกิดการปฏิวัติเป็นครั้งที่ 18 ของเมืองไทย   พลเอก ชาติชาย  ชุณหวัณ  นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น  ถูกยึดอำนาจจากคณะ รสช. โดยมีพลเอก สุนทร  คงสมพงษ์  ผู้บัญชาการทหารสูงสุด  เป็นผู้นำการปฏิวัติ    ทำให้ฉันแปลกใจว่าเหตุใดเมื่อฉันให้กำเนิดลูกทั้งคนแรกและคนที่สอง  จะต้องประสบกับเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองคล้ายกันทั้งสองครั้ง  จนฉันถูกล้อเลียนจากเพื่อนๆ เสมอว่า  อย่ามีลูกอีกเลยนะ เดี๋ยวจะเกิดการปฏิวัติอีก
 
 
 
  รุจิรา  เจือสุคนธ์ทิพย์