เรื่องที่ท่านจะอ่านต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ดิฉันเขียนขึ้นมาจากประสบการณ์จริงและได้ส่งเข้าประกวดข้อเขียนในโครงการของคลื่นครอบครัว 97.5 F.M. Nice Station เมื่อเดือน 2542 และเป็นเรื่องที่ได้รับรางวัลในการเข้าประกวดในครั้งนั้น และเมื่อทางสถานีได้อ่านออกรายการทางวิทยุ คุณ ดำรง พุฒตาล ซึ่งเป็นบรรณาธิการของนิตยสาร “ คู่สร้างคู่สม ” ได้รับฟังเรื่องราวและประทับใจ จึงขออนุญาตทางสถานีเพื่อนำเรื่องที่ได้รับรางวัลลงตีพิมพ์ในหนังสือ “ คู่สร้างคู่สม ” ซึ่งเรื่องของดิฉันได้รับการพิมพ์ลงหนังสือ “ คู่สร้างคู่สม ” ฉบับที่ 353 ประจำเดือนกันยายน 2542 ดิฉันเห็นว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ดิฉันได้ติดตามสามีไปประจำการต่างประเทศ และเป็นเรื่องราวที่น้อยคนนักจะประสบเหตุการณ์อย่างดิฉัน ดิฉันเขียนขึ้นเป็นบันทึกเรื่องราวส่วนตัว ขอนำมาเล่าสู่กันฟังหวังว่าท่านสมาชิกชมรมฯ คงจะได้รับความเพลิดเพลินไม่มากก็น้อยนะคะ
แม้วันเวลาจะล่วงเลยไปถึง 13 ปีแล้ว ฉันก็ไม่เคยลืมเหตุการณ์ในวันนั้นไปได้ และจะขอจดจำไว้ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ นั่นคือวันที่ลูกชายที่น่ารักของฉันได้ลืมตามาดูโลกเป็นครั้งแรก หลังจากที่ฉันเพียรพยายามอย่างมากที่จะมีลูกเมื่อแต่งงานมาได้ 5 ปี ขอความช่วยเหลือจากแพทย์มาหลายท่าน แต่เมื่อถึงเวลา ลูกก็มาเกิดได้โดยไม่ต้องพึ่งเทคนิคทางการแพทย์แต่ประการใด อาจจะเป็นเพราะฟ้าลิขิตให้เขามาเกิดในวันนั้น ในเหตุการณ์ที่ฉันจะเล่าต่อไป ซึ่งไม่มีวันลืมเลย
หลังจากที่สามีของดิฉันได้รับแต่งตั้งจากกระทรวงการต่างประเทศให้ไปประจำการยังสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เราสองคนได้ไปใช้ชีวิตในต่างแดนเป็นครั้งแรก เมื่อเราว่างจากภาระหน้าที่การงาน เราใช้ชีวิตคู่กันอย่างเต็มที่ในการท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ หรือดูหนังฟังเพลงบ้างในบางโอกาส พบปะเพื่อนฝูงโดยไม่ต้องห่วงใครที่บ้านเรายังไม่เคยคิดถึงการมีลูกอย่างจริงจังแต่เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งผิดปกติที่แต่งงานมาหลายปีแล้วไม่มีลูกฉันจึงต้องไปปรึกษาแพทย์ตั้งแต่ก่อนจากเมืองไทยมา และเมื่อไปอยู่มะนิลาได้หนึ่งปีผ่านไปเราก็มีความต้องการที่จะมีลูกกันอย่างจริงจังและความตั้งใจของเราก็ประสบผลสำเร็จ
ฉันได้ประสบการณ์ของการตั้งครรภ์เป็นครั้งแรกเมื่อเริ่มเหม็นกลิ่นอาหารและอาเจียนบ่อยครั้ง ทีแรกฉันไม่ค่อยแน่ใจนัก เพราะรู้ตัวว่ามีลูกยาก แต่ก็หวังไว้ลึกๆว่าจะเป็นความจริง และเมื่อฉันไปพบแพทย์ ฉันก็ได้รู้สึกถึงความสุขที่แท้จริงในชีวิตเมื่อหมอบอกว่าฉันตั้งท้องแล้วฉันรับฟังจากแพทย์ด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างเหลือล้น เป็นความสุขที่แตกต่างไปจากความสุขอื่นที่ฉันเคยมี เมื่อฉันแต่งงาน ฉันมีความสุขที่ได้อยู่กับคนที่ฉันรัก เราเป็นคู่รักกันตั้งแต่เป็นนักเรียนมัธยมปลาย และเราก็คบกันต่อมา จนเมื่อเรียนในมหาวิทยาลัย ถึงจะอยู่ต่างสถาบัน เราก็ยังไม่เคยเปลี่ยนใจไปรักใครอื่น เมื่อฉันมีลูกกับเขา ฉันจึงมีความสุขยิ่งนักที่ได้มีโอกาสเป็นแม่คน กำลังจะให้กำเนิดแก่ชีวิตหนึ่ง ซึ่งเกิดจากเลือดเนื้อของฉันและคนที่ฉันรัก
เมื่อทุกอย่างเข้าสู่สภาวะปกติ ฉันก็ได้สัมผัสกับความสุขของการตั้งท้องอย่างเต็มที่ ตื่นเต้นดีใจทุกครั้งที่ลูกดิ้น และรู้สึกสนุกมากเมื่อลูกดิ้นแรงจนเห็นท้องเป็นคลื่น ฉันตื่นเต้นแม้กระทั่งการใส่ชุดคลุมท้อง ฉันพยายามทำทุกอย่างที่หมอแนะนำ ให้ทานอาหารที่ดี ทานยาบำรุง การพักผ่อนและออกกำลังกายบ้างตามสมควร ฉันมีความสุขกับการไปเดินจับจ่ายซื้อของเตรียมไว้ให้ลูกน้อย เพราะความที่ฉันและสามีอยู่กันเพียงสองคน เราจึงต้องช่วยเหลือตัวเองทุกอย่างมีแต่เพียงเพื่อนข้าราชการไทยเท่านั้นที่คอยให้คำแนะนำและยังมีหนังสือที่พ่อแม่ของฉันส่งไปให้อ่าน นี่ถ้าหากฉันอยู่เมืองไทยตอนนั้น ฉันคงถูกห้ามการซื้อของเตรียมไว้ให้ลูก เพราะโบราณถือ แต่นี่ถ้าฉันไม่เตรียม ก็คงจะต้องลำบากหลังคลอดแน่ๆ แต่ความจริงเหนือสิ่งอื่นใดก็คือฉันมีความสุขเหลือเกินที่ได้ไปเดินดูของใช้ของเด็กๆ อะไรๆ ก็ดูน่ารักไปหมด ช่วงนั้นฉันมีความสุขมากจนฉันดูเปล่งปลั่งขึ้นมาก ใครๆ ก็ทายว่าฉันจะได้ลูกสาวแน่นอน มีเพียงเพื่อนคนเดียวเท่านั่นที่ทายว่าฉันจะได้ลูกชาย โดยการทำนายจากชื่อของฉันและสามี ใจฉันเองอยากได้ลูกชายเป็นคนแรกและก็มองเห็นแต่ว่าเสื้อผ้า ของใช้ ของเล่นของเด็กผู้ชายน่ารักไปซะหมด
หมอได้กำหนดว่าฉันจะคลอดราวเดือนมีนาคมของปี 2529 ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติจนกระทั่งถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2529 ก็เกิดการรวมตัวกันของประชาชนชาวฟิลิปปินส์ในกรุงมะนิลาเพื่อขับไล่ Marcos ประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ ให้ลาออกจากตำแหน่ง เพราะประชาชนทนความเผด็จการและการโกงกินชาติบ้านเมืองของมาร์กอสต่อไปไม่ไหวแล้ว สามีฉันจึงต้องวุ่นวายกับการรายงานเหตุการณ์ให้กระทรวงการต่างประเทศทราบอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นห่วงฉันมาก เพราะฉันท้องแก่มากแล้ว เหตุการณ์ในวันต่อๆ มาทวีความรุนแรงมากขึ้น มีการปะทะกันด้วยกำลังและอาวุธระหว่างประชาชนและทหาร ฉันรับฟังข่าวด้วยความกลัวตลอดเวลา การสื่อสารระหว่างประเทศถูกตัดขาด ฉันไม่สามารถส่งข่าวมายังครอบครัวที่เมืองไทย และพวกเขาก็ไม่สามารถติดต่อฉันได้เช่นกัน
ท่านเอกอัครราชทูตบอกแก่ฉันว่าหากเหตุการณ์รุนแรงขึ้นแต่ไม่ถึงขั้นอพยพ ก็จะให้ฉันย้ายเข้าไปพักอยู่ในทำเนียบของท่านจะปลอดภัยที่สุดแต่ถ้าหากต้องอพยพท่านจะให้ฉันขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทยก่อนเป็นคนแรก แต่สามีฉันจะต้องอยู่ที่นั่นและจะต้องกลับเป็นกลุ่มสุดท้าย เพราะเขาจะต้องปฏิบัติตามหน้าที่ฉันรับฟังด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความทุกข์อะไรจะเกิดขึ้นถ้าพ่อของลูกไม่ได้กลับเมืองไทย และไม่ได้เห็นหน้าลูกเมื่อแรกเกิด ฉันคิดมากและกังวลใจจนเกือบกินไม่ได้นอนไม่หลับ และฉันรู้ว่าลูกเองก็กำลังทุกข์ด้วย เพราะเขาดิ้นตลอดเวลาจนฉันรู้สึกไม่สบายตัวเอามากๆ เลยทีเดียว
และแล้ว " ลูกฟิลล์ " ก็ได้เกิดมาท่ามกลางความสับสนวุ่นวายทางการเมืองของฟิลิปปินส์ จะเป็นด้วยเหตุที่ฉันตื่นเต้นหวาดกลัวหรือเป็นเพราะฟ้ากำหนดให้เขามาเกิดในวันนี้ก็สุดที่ฉันจะรู้ วันนั้นตรงกับวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2529 ในเวลาเช้าตรู่ฉันมีอาการน้ำคร่ำเดินฉันจึงปลุกสามีของฉันเพื่อพาฉันไปโรงพยาบาลท่ามกลางเสียงปืนและรถถังเต็มเมือง โชคดีที่หมอของฉันเดินทางมาโรงพยาบาลได้อย่างปลอดภัยเช่นกัน หมอตรวจดูแล้วก็บอกฉันว่าฉันจะคลอดอย่างเร็วก็ช่วงบ่าย ฉันไม่มีอาการเจ็บท้องแต่อย่างใดเลย สามีฉันก็วางใจว่าฉันคงยังไม่คลอดเร็วๆ นี้แน่ จึงไปทำงานต่อ แต่พอถึงเวลา 11 โมงเช้า หมอก็บอกว่าฉันจะคลอดแล้ว จึงพาเข้าห้องคลอด หลังจากที่ฉันได้ดูทีวีและเห็นว่า Marcos และ Cori Aquino ต่างก็ประกาศตัวเป็นประธานาธิบดี เหตุการณ์เริ่มเข้มข้นเข้าไปทุกที แต่ฉันไม่ห่วงอะไรแล้ว ฉันกำลังตื่นเต้นที่จะได้เห็นหน้าลูกที่เฝ้ารอคอยมาเกือบเก้าเดือน
ฉันคลอดลูกด้วยวิธีธรรมชาติเมื่อเวลา 12.13 น. ที่โรงพยาบาล Makati Medical Center สูติแพทย์ของฉันคือ Dr.Constantino P.Manahanผู้มีชื่อเสียง ฉันตื่นเต้นมากเมื่อพยาบาลบอกฉันว่า " baby boy " น้ำตาฉันไหลด้วยความปลื้มปิติสมหวังดีใจที่สุดในชีวิต ฉันได้ยินเสียงลูกร้องไห้จ้า และพยาบาลก็อุ้มลูกมาให้ฉันดูหน้า ซึ่งฉันเองก็เห็นลูกไม่ถนัดนัก เพราะความที่สายตาสั้นและไม่ได้ใส่แว่นในขณะนั้น
อันที่จริงสามีฉันก็ตั้งใจว่าจะอยู่ด้วยตอนฉันคลอด แต่เพราะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดทำให้เขามาถึงโรงพยาบาลช้ากว่าท่านทูตซึ่งห่วงใยฉันมากและท่านมาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่ฉันอยู่ในห้องคลอด แต่ยังโชคดีที่สามีฉันมาทันเวลาที่พยาบาลอุ้มลูกออกจากห้องคลอด เขาจึงทันได้ถ่ายรูปลูกเอาไว้ในขณะที่ตัวลูกยังมีคราบไขมันและเลือดติดอยู่มันเล็กน้อย
ลูกฟิลล์ มีน้ำหนักแรกคลอด 7.2 ปอนด์ หรือ 3,232 กรัม ตัวโตแข็งแรงแลมีขนปุยอ่อนๆขึ้นเต็มตัว ลูกหน้าตาคล้ายไปทางพ่อมาก ลูกเกิดก่อนหมอกำหนด 12 วัน( กำหนดคือ 9 มีนาคม 2529
เมื่อฉันไปพักฟื้นในห้องพักคนไข้ ฉันก็ได้ดูทีวีตลอดเวลา และติดตามเหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้นทุกขณะ ตอนนั้นฉันไม่นึกกลัวอะไรแล้ว เพราะลูกก็คลอดแล้ว สามี ฉันและลูกได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากัน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ห้ามและแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้วฉันกังวลแต่ว่าทางครอบครัวของฉันที่เมืองไทยจะเป็นห่วง
ช่วงบ่ายวันนั้นประชาชนชาวฟิลิปปินส์ก็บุกทำเนียบมาลากันยังเพื่อขับไล่มาร์กอสและมาดามอีเมลด้า มีการจุดไฟเผาและทำลายทรัพย์สินสิ่งของต่างๆ ทหารไม่สามารถต่อต้านพลังของประชาชนได้อีก มีการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินมากมาย ในที่สุดเวลาเที่ยงคืนวันนั้น มาร์กอสและมาดามอีเมลด้าก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้แก่พลังของประชาชน และต้องหลบหนีออกนอกประเทศไป สละอำนาจและทรัพย์สิน จากไปท่ามกลางเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีของประชาชนทั้งประเทศ ถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่ประชาชนได้ต่อสู้มาเพื่อให้ได้ประชาธิปไตย และหลุดพ้นจากการปกครองแบบเผด็จการมานานร่วมยี่สิบปี
ดังนั้น จึงได้มีการประกาศจากรัฐบาลชุดต่อมา ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Cori Aquino ให้วันที่ 25 กุมภาพันธ์ เป็นวัน " Victory Day " และเป็นวันหยุดประจำชาติของทุกปี เพื่อให้ประชาชนได้รำลึกถึงชัยชนะครั้งนี้
สำหรับฉัน วันที่ 25 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็นวันที่ฉันได้รำลึกถึงชัยชนะของฉันเองที่ได้ต่อสู้กับอุปสรรคและความกลัว จนได้รางวัลที่ยิ่งใหญ่สำหรับฉันและครอบครัวคือ“ ลูกฟิลล์ ” ลูกชายคนแรกของเรา ฉันจึงตั้งชื่อให้ลูกว่า " ฟิลล์ " ( PHIL) มาจากคำว่า " PHILIPPINES " เพื่อเป็นที่ระลึกให้เราจดจำเหตุการณ์และความภาคภูมิใจที่เรามีเมื่อได้ไปประจำการยังประเทศฟิลิปปินส์
5 ปีต่อมา เมื่อฉันได้กลับมาอยู่ประเทศไทยหลังจากพ้นวาระประจำการยังประเทศฟิลิปปินส์แล้ว ฉันก็ได้ให้กำเนิดลูกคนที่สองเป็นหญิงสมความตั้งใจเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2534 แต่การให้กำเนิดลูกสาวคนนี้เป็นการคลอดก่อนกำหนดถึงสองเดือนอาจเป็นไปได้ว่าเขาอยากจะเกิดในเดือนเดียวกันกับพี่ชาย ทำให้ฉันต้องตื่นเต้นและหวาดกลัวอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะลูกมีน้ำหนักแรกคลอดน้อยกว่าปกติ จึงทำให้ลูกต้องอยู่รักษาตัวในตู้อบจนกว่าลูกจะแข็งแรง จึงจะกลับบ้านได้ ด้วยความเป็นห่วงลูก ฉันเลยตัดสินใจพักอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อดูแลลูกอย่างใกล้ชิด และแล้วสิ่งที่ฉันไม่เคยคาดคิดก็เกิดขึ้นระหว่างที่ฉันและลูกยังอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นสัปดาห์ที่สอง ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ก็เกิดการปฏิวัติเป็นครั้งที่ 18 ของเมืองไทย พลเอก ชาติชาย ชุณหวัณ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ถูกยึดอำนาจจากคณะ รสช. โดยมีพลเอก สุนทร คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้นำการปฏิวัติ ทำให้ฉันแปลกใจว่าเหตุใดเมื่อฉันให้กำเนิดลูกทั้งคนแรกและคนที่สอง จะต้องประสบกับเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองคล้ายกันทั้งสองครั้ง จนฉันถูกล้อเลียนจากเพื่อนๆ เสมอว่า อย่ามีลูกอีกเลยนะ เดี๋ยวจะเกิดการปฏิวัติอีก
รุจิรา เจือสุคนธ์ทิพย์